สมาชิกหมู่บ้านจัดสรรดังย่านบ่อสร้างสันกำแพงร้องสื่อ หลังร้องศูนย์ดำรงธรรมและหน่วยรัฐฯกว่า10 องค์กรแต่ไร้วี่แวว ขณะที่นิติบุคคลขัดคำสั่งผู้ว่าฯทุบกำแพงรั้วเพื่อทำเป็นทางผ่าน ทำให้ผู้อยู่อาศัยหมู่บ้านเดือดร้อนหนัก
สมาชิกหมู่บ้านจัดสรรดังย่านบ่อสร้างสันกำแพงร้องสื่อ หลังร้องศูนย์ดำรงธรรมและหน่วยรัฐฯกว่า10 องค์กรแต่ไร้วี่แวว ขณะที่นิติบุคคลขัดคำสั่งผู้ว่าฯทุบกำแพงรั้วเพื่อทำเป็นทางผ่าน ทำให้ผู้อยู่อาศัยหมู่บ้านเดือดร้อนหนัก
เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 30 มิถุนายน 2562 บริเวณสวนสาธารณะหมู่บ้านจัดสรรชื่อดังแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ย่านตรงกันข้ามกับสำนักงานเทศบาลตำบลสันกลาง (ต้นเปา) ถนนเส้นวงแหวนรอบ 3 อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ได้มีการจัดประชุมวิสามัญครั้งที่ 1 /2562 โดยมีสมาชิกในหมู่บ้าน เข้าร่วมประชุมกว่า 200 คน มีวาระต่างๆ หลายหัวข้อด้วยกัน แต่การที่มีสมาชิกเข้าร่วมประชุมจำนวนมากกว่าทุกครั้ง เนื่องจากสมาชิกของหมู่บ้าน ให้ความสนใจเกี่ยวกับประเด็นนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ได้ทุบกำแพงรั้วของหมู่บ้าน เพื่อทำเป็นถนนยอมให้เป็นผ่านเข้าออกของโครงการใหม่เฟส2 ซึ่งเป็นคนละผังโครงการกันและไม่มีทางเข้าออกที่ถาวร ทำให้บ้านสมาชิกในหมู่บ้านดังกล่าวได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะบ้านที่อยู่ติดถนนทางผ่าน โดยได้รับความเดือดร้อนจากมลพิษทั้งทางเสียงและควัน จากรถที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นกว่าเกือบเท่าตัว ทั้งรถจากผู้อยู่โครงเดิมและจากหมู่บ้านเฟส 2 ทำให้มีการสัญจรผ่านไปมาอย่างพลุกพล่าน สร้างความเดือดร้อนรบกวนความสงบที่เคยมีมาแก่ผู้ที่ซื้อบ้านอยู่ก่อน เพราะคิดว่าเป็นถนนสุดโครงการตามผังจัดสรรแล้ว
อย่างไรก็ตามการประชุมวิสามัญครั้งที่1/2562 ในครั้งนี้ สมาชิกผู้อาศัยที่ได้รับความเดือดร้อน ต้องการให้มีการสร้างกำแพงปิดกั้นให้เหมือนผังจัดสรรเดิม หยุดการใช้ทางร่วมกับบุคคลภายนอก และให้นิติบุคคลและเจ้าของโครงการบ้านจัดสรร หาทางออกให้กับผู้ที่ซื้อบ้านในเฟส 2 โดยการใช้เส้นทางอื่นต่อไป เพื่อไม่เป็นการสร้างปัญหาหรือลดรอนสิทธิที่เคยมีของสมาชิกที่เคยอยู่มาก่อนของหมู่บ้านโครงการดังกล่าว
ทั้งนี้จากการสังเกตุการณ์ของผู้สื่อข่าว พบว่ามีสมาชิกเข้าร่วมประชุมสมัยวิสามัญจำนวนกว่า 200 คน ต่างเห็นด้วยกับการให้ปิดถนนที่เชื่อมระหว่างเฟส 1-2 อย่างถาวรและตลอดไป บรรยากาศโดยทั่วไประหว่างการประชุมในครั้งนี้ ได้มีเสียงโห่เป็นครั้งๆ เนื่องจากได้มีสมาชิกในหมู่บ้านไม่เห็นด้วยกับการเปิดใช้ทางร่วมของฝ่ายนิติบุคคลในเรื่องดังกล่าว โดยบริเวณงานได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สันกำแพง จำนวน 5 นายมาเพื่อดูแลความปลอดภัยในการประชุมครั้งนี้ด้วย แต่ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงแต่อย่างใด
ด้านนายอนุชา เสรีรัฐ เจ้าของบ้านเลขที่190 /150 ในโครงการเก่าเฟส 1 กล่าวว่า ปัญหาของผู้ที่ซื้อบ้านโครงการเดิมหรือเฟส1 มีสมาชิกเกือบ 100 หลังคาได้รับความเดือดร้อน โดยที่นิติบุคคลของหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ ได้ใช้มติซึ่งส่วนใหญ่ซึ่งเป็นของผู้ที่ไม่ได้รับความเดือดร้อน ไปทุบกำแพงของหมู่บ้านออก โดยทำเป็นถนนเชื่อมต่อระหว่างเฟส1เเละ เฟส2 ซึ่งไม่เป็นไปตามผังจัดสรรที่ได้จดทะเบียนไว้แต่แรก จึงส่งผลกระทบต่อผู้ที่มาซื้อบ้านและอยู่อาศัยมาก่อนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าปัญหาฝุ่นละออง เสียงรถยนต์ที่สัญจรผ่านไปมา รวมทั้งความปลอดภัยของเด็กในหมู่บ้านที่ออกไปวิ่งเล่นตอนเย็นหรือวันหยุด นอกจากนี้ยังมีปัญหาความขัดแย้งของคนภายในหมู่บ้านเกิดขึ้นตามมาอีก โดยที่ผ่านมาสมาชิกในหมู่บ้านได้ทำหนังสือทักท้วงไปยังคณะนิติบุคคลของหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้แล้ว แต่กลับไม่ได้รับความสนใจแต่อย่างใด ในอดีตช่วงมีการก่อสร้างหมู่บ้านตาบอดเฟส 2 นี้ ยังมีบ้านบางหลังถูกขโมยขึ้นบ้านระหว่างการก่อสร้างด้วย ทำให้สมาชิกในหมู่บ้านได้ทำหนังสือร้องไปยังศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีคำสั่งของผู้ว่าฯ ให้ปิดถนน แต่ก็เป็นการปิดเพียงระยะหนึ่งเท่านั้นซึ่งถูกคณะนิติของหมู่บ้านกลับมาเปิดเช่นเดิม เพียงเพื่อแลกกับประโยชน์บางประการที่โครงการจัดสรรมอบให้ จึงทำให้มีผู้เดือดร้อนร้องผ่านสื่อมวลชนในครั้งนี้ แต่หากยังไม่ได้ผลต้องดำเนินการทางกฎหมายเพื่อได้รับความยุติธรรมต่อไป
ขณะที่ ผศ.ดร.อัญชลี วรรณสาร หนึ่งในสมาชิก ที่ซื้อบ้านอยู่ในโครงการดังกล่าว เปิดเผยว่า ตนได้มาซื้อบ้านในโครงการหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้เป็นรุ่นแรกๆ และมาอาศัยมา 6 ปีแล้ว โดยก่อนหน้านี้อยู่กันแบบสงบสุข ช่วงวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ ครอบครัวพักผ่อนกันอย่างสบาย แต่หลังจากมีการจัดตั้งนิติบุคคลของหมู่บ้าน ก็มีการทุบกำแพงโครงการเดิมเพื่อเปิดถนนเชื่อมต่อกับโครงการใหม่เฟส2 จึงรู้สึกเกิดความกังวล มีความเดือดร้อนอย่างมากกับปริมาณรถที่เพิ่มขึ้นจากเฟส 2 กว่า 70 หลังคาเรือน ผ่านในถนนซอยเล็กๆ ข้างบ้านทุกวัน ประกอบกับบ้านของตนอยู่หัวมุมถนน เมื่อรถวิ่งผ่านจะต้องชะลอและเร่งเครื่องยนต์อีกครั้ง เกิดปัญหาเสียงดัง และควันจากท่อไอเสียถึงห้องนอน ในอดีตขณะมีการก่อสร้างหมู่บ้านใหม่เฟส 2 ราวปี 2558-2561 สมาชิกที่ได้รับความเดือดร้อนได้ทำหนังสือทักท้วงไปยังนิติบุคคล แต่นิติบุคคลกลับไม่สนใจ หลังจากนั้นปลายปี 2561 มีคำสั่งจากการประชุมของคณะกรรมการจัดสรรที่ดิน โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ให้สั่งปิดทางดังกล่าวภายใน 30 วัน เนื่องจากเป็นคนละผังจัดสรรกัน แต่เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2562 ที่ผ่านมา คณะนิติบุคคลซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่ลูกบ้านเลือกเข้าไปกลับไปเปิดรั้วที่เคยมีมติจากทางราชการว่าสั่งให้ปิด ดังนั้นการประชุมวิสามัญในวันนี้ แม้จะมีสมาชิกมาจำนวนมากก็ตาม แต่ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกที่ไม่ได้รับความเดือดร้อนและเห็นแก่ผลประโยชน์ที่ทางโครงการมอบให้แก่นิติหมู่บ้าน โดยไม่ได้รับฟังถึงความเดือดร้อนของคนที่อยู่ติดถนนซอยเลย
ผศ.ดร.อัญชลี วรรณสาร กล่าวอีกว่า ถึงแม้กลุ่มคนที่เดือดร้อนจะแพ้มติโหวตให้เปิดใช้ทางร่วมแลกกับผลประโยชน์ดังกล่าว การแพ้เสียงมติในครั้งนี้ กลุ่มคนที่อยู่มาก่อนและได้รับความเดือดร้อนจะเรียกร้องสิทธิตามกฎหมาย โดยขอสงวนสิทธิ์การคัดค้านนี้ เพื่อไปใช้สิทธิ์ทางศาลจนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด โดยไม่ว่านิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุบรั้วกำแพงเพื่อเปิดใช้เป็นทางร่วมกับหมู่บ้านตาบอดเฟส 2 ดังกล่าวก็ต้องรับผิดชอบในการกระทำที่อาจจะขัดต่อกฏหมายต่อไปสมาชิกหมู่บ้านจัดสรรดังย่านบ่อสร้างสันกำแพงร้องสื่อ หลังร้องศูนย์ดำรงธรรมและหน่วยรัฐฯกว่า10 องค์กรแต่ไร้วี่แวว ขณะที่นิติบุคคลขัดคำสั่งผู้ว่าฯทุบกำแพงรั้วเพื่อทำเป็นทางผ่าน ทำให้ผู้อยู่อาศัยหมู่บ้านเดือดร้อนหนัก
เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 30 มิถุนายน 2562 บริเวณสวนสาธารณะหมู่บ้านจัดสรรชื่อดังแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ย่านตรงกันข้ามกับสำนักงานเทศบาลตำบลสันกลาง (ต้นเปา) ถนนเส้นวงแหวนรอบ 3 อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ได้มีการจัดประชุมวิสามัญครั้งที่ 1 /2562 โดยมีสมาชิกในหมู่บ้าน เข้าร่วมประชุมกว่า 200 คน มีวาระต่างๆ หลายหัวข้อด้วยกัน แต่การที่มีสมาชิกเข้าร่วมประชุมจำนวนมากกว่าทุกครั้ง เนื่องจากสมาชิกของหมู่บ้าน ให้ความสนใจเกี่ยวกับประเด็นนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ได้ทุบกำแพงรั้วของหมู่บ้าน เพื่อทำเป็นถนนยอมให้เป็นผ่านเข้าออกของโครงการใหม่เฟส2 ซึ่งเป็นคนละผังโครงการกันและไม่มีทางเข้าออกที่ถาวร ทำให้บ้านสมาชิกในหมู่บ้านดังกล่าวได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะบ้านที่อยู่ติดถนนทางผ่าน โดยได้รับความเดือดร้อนจากมลพิษทั้งทางเสียงและควัน จากรถที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นกว่าเกือบเท่าตัว ทั้งรถจากผู้อยู่โครงเดิมและจากหมู่บ้านเฟส 2 ทำให้มีการสัญจรผ่านไปมาอย่างพลุกพล่าน สร้างความเดือดร้อนรบกวนความสงบที่เคยมีมาแก่ผู้ที่ซื้อบ้านอยู่ก่อน เพราะคิดว่าเป็นถนนสุดโครงการตามผังจัดสรรแล้ว
อย่างไรก็ตามการประชุมวิสามัญครั้งที่1/2562 ในครั้งนี้ สมาชิกผู้อาศัยที่ได้รับความเดือดร้อน ต้องการให้มีการสร้างกำแพงปิดกั้นให้เหมือนผังจัดสรรเดิม หยุดการใช้ทางร่วมกับบุคคลภายนอก และให้นิติบุคคลและเจ้าของโครงการบ้านจัดสรร หาทางออกให้กับผู้ที่ซื้อบ้านในเฟส 2 โดยการใช้เส้นทางอื่นต่อไป เพื่อไม่เป็นการสร้างปัญหาหรือลดรอนสิทธิที่เคยมีของสมาชิกที่เคยอยู่มาก่อนของหมู่บ้านโครงการดังกล่าว
ทั้งนี้จากการสังเกตุการณ์ของผู้สื่อข่าว พบว่ามีสมาชิกเข้าร่วมประชุมสมัยวิสามัญจำนวนกว่า 200 คน ต่างเห็นด้วยกับการให้ปิดถนนที่เชื่อมระหว่างเฟส 1-2 อย่างถาวรและตลอดไป บรรยากาศโดยทั่วไประหว่างการประชุมในครั้งนี้ ได้มีเสียงโห่เป็นครั้งๆ เนื่องจากได้มีสมาชิกในหมู่บ้านไม่เห็นด้วยกับการเปิดใช้ทางร่วมของฝ่ายนิติบุคคลในเรื่องดังกล่าว โดยบริเวณงานได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สันกำแพง จำนวน 5 นายมาเพื่อดูแลความปลอดภัยในการประชุมครั้งนี้ด้วย แต่ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงแต่อย่างใด
ด้านนายอนุชา เสรีรัฐ เจ้าของบ้านเลขที่190 /150 ในโครงการเก่าเฟส 1 กล่าวว่า ปัญหาของผู้ที่ซื้อบ้านโครงการเดิมหรือเฟส1 มีสมาชิกเกือบ 100 หลังคาได้รับความเดือดร้อน โดยที่นิติบุคคลของหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ ได้ใช้มติซึ่งส่วนใหญ่ซึ่งเป็นของผู้ที่ไม่ได้รับความเดือดร้อน ไปทุบกำแพงของหมู่บ้านออก โดยทำเป็นถนนเชื่อมต่อระหว่างเฟส1เเละ เฟส2 ซึ่งไม่เป็นไปตามผังจัดสรรที่ได้จดทะเบียนไว้แต่แรก จึงส่งผลกระทบต่อผู้ที่มาซื้อบ้านและอยู่อาศัยมาก่อนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าปัญหาฝุ่นละออง เสียงรถยนต์ที่สัญจรผ่านไปมา รวมทั้งความปลอดภัยของเด็กในหมู่บ้านที่ออกไปวิ่งเล่นตอนเย็นหรือวันหยุด นอกจากนี้ยังมีปัญหาความขัดแย้งของคนภายในหมู่บ้านเกิดขึ้นตามมาอีก โดยที่ผ่านมาสมาชิกในหมู่บ้านได้ทำหนังสือทักท้วงไปยังคณะนิติบุคคลของหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้แล้ว แต่กลับไม่ได้รับความสนใจแต่อย่างใด ในอดีตช่วงมีการก่อสร้างหมู่บ้านตาบอดเฟส 2 นี้ ยังมีบ้านบางหลังถูกขโมยขึ้นบ้านระหว่างการก่อสร้างด้วย ทำให้สมาชิกในหมู่บ้านได้ทำหนังสือร้องไปยังศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีคำสั่งของผู้ว่าฯ ให้ปิดถนน แต่ก็เป็นการปิดเพียงระยะหนึ่งเท่านั้นซึ่งถูกคณะนิติของหมู่บ้านกลับมาเปิดเช่นเดิม เพียงเพื่อแลกกับประโยชน์บางประการที่โครงการจัดสรรมอบให้ จึงทำให้มีผู้เดือดร้อนร้องผ่านสื่อมวลชนในครั้งนี้ แต่หากยังไม่ได้ผลต้องดำเนินการทางกฎหมายเพื่อได้รับความยุติธรรมต่อไป
ขณะที่ ผศ.ดร.อัญชลี วรรณสาร หนึ่งในสมาชิก ที่ซื้อบ้านอยู่ในโครงการดังกล่าว เปิดเผยว่า ตนได้มาซื้อบ้านในโครงการหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้เป็นรุ่นแรกๆ และมาอาศัยมา 6 ปีแล้ว โดยก่อนหน้านี้อยู่กันแบบสงบสุข ช่วงวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ ครอบครัวพักผ่อนกันอย่างสบาย แต่หลังจากมีการจัดตั้งนิติบุคคลของหมู่บ้าน ก็มีการทุบกำแพงโครงการเดิมเพื่อเปิดถนนเชื่อมต่อกับโครงการใหม่เฟส2 จึงรู้สึกเกิดความกังวล มีความเดือดร้อนอย่างมากกับปริมาณรถที่เพิ่มขึ้นจากเฟส 2 กว่า 70 หลังคาเรือน ผ่านในถนนซอยเล็กๆ ข้างบ้านทุกวัน ประกอบกับบ้านของตนอยู่หัวมุมถนน เมื่อรถวิ่งผ่านจะต้องชะลอและเร่งเครื่องยนต์อีกครั้ง เกิดปัญหาเสียงดัง และควันจากท่อไอเสียถึงห้องนอน ในอดีตขณะมีการก่อสร้างหมู่บ้านใหม่เฟส 2 ราวปี 2558-2561 สมาชิกที่ได้รับความเดือดร้อนได้ทำหนังสือทักท้วงไปยังนิติบุคคล แต่นิติบุคคลกลับไม่สนใจ หลังจากนั้นปลายปี 2561 มีคำสั่งจากการประชุมของคณะกรรมการจัดสรรที่ดิน โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ให้สั่งปิดทางดังกล่าวภายใน 30 วัน เนื่องจากเป็นคนละผังจัดสรรกัน แต่เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2562 ที่ผ่านมา คณะนิติบุคคลซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่ลูกบ้านเลือกเข้าไปกลับไปเปิดรั้วที่เคยมีมติจากทางราชการว่าสั่งให้ปิด ดังนั้นการประชุมวิสามัญในวันนี้ แม้จะมีสมาชิกมาจำนวนมากก็ตาม แต่ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกที่ไม่ได้รับความเดือดร้อนและเห็นแก่ผลประโยชน์ที่ทางโครงการมอบให้แก่นิติหมู่บ้าน โดยไม่ได้รับฟังถึงความเดือดร้อนของคนที่อยู่ติดถนนซอยเลย
ผศ.ดร.อัญชลี วรรณสาร กล่าวอีกว่า ถึงแม้กลุ่มคนที่เดือดร้อนจะแพ้มติโหวตให้เปิดใช้ทางร่วมแลกกับผลประโยชน์ดังกล่าว การแพ้เสียงมติในครั้งนี้ กลุ่มคนที่อยู่มาก่อนและได้รับความเดือดร้อนจะเรียกร้องสิทธิตามกฎหมาย โดยขอสงวนสิทธิ์การคัดค้านนี้ เพื่อไปใช้สิทธิ์ทางศาลจนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด โดยไม่ว่านิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุบรั้วกำแพงเพื่อเปิดใช้เป็นทางร่วมกับหมู่บ้านตาบอดเฟส 2 ดังกล่าวก็ต้องรับผิดชอบในการกระทำที่อาจจะขัดต่อกฏหมายต่อไป