กำลังผสมกว่า 200 นายตรวจสอบโฮมสเตย์ม่อนแจ่ม ขณะที่ผู้นำโต้ อยู่มามากกว่า 100 ปี 4 ช่วงอายุคนภาครัฐฯไม่เคยชี้จุดให้ชัดเจน พร้อมปฏิบัติตามกฎหมายทุกกรณี พร้อมฝากเจ้าหน้ากลับไปทบทวง มติ.ครม.ปี 41 และคำสั่ง คสช.ที่6/2562 ก่อนทำการรื้นฯ
กำลังผสมกว่า 200 นายตรวจสอบโฮมสเตย์ม่อนแจ่ม ขณะที่ผู้นำโต้ อยู่มามากกว่า 100 ปี 4 ช่วงอายุคนภาครัฐฯไม่เคยชี้จุดให้ชัดเจน พร้อมปฏิบัติตามกฎหมายทุกกรณี พร้อมฝากเจ้าหน้ากลับไปทบทวง มติ.ครม.ปี 41 และคำสั่ง คสช.ที่6/2562 ก่อนทำการรื้นฯ
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 8 กรากฎาคม 2562 กองกำลังผสม ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ตำรวจ และฝ่ายปกครองอำเภอแมริม นำโดยนายภูมินทร์ บุญบันดาล ผอ.สำนักงานทรัพยากรป่าไม้ที่.1 ชม. นำกำลังกว่า 150 นาย เพื่อทำการตรวจสอบการใช้พื้นที่ป่าบ้านหนอหอยเก่า-ใหม่ ม่อนแจ่ม ตำบลแม่แรม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ที่ประชาชนหันมาทำเป็นโฮมสเตย์ จากเดิมเป็นปลูกพืชผักตามที่โครงการหลวงเคยจัดสรรให้ ทั้งนี้การตรวจสอบในครั้งนี้โดยได้แบ่งกำลังออกเป็น 4 ชุด เพื่อทำการตรวจสอบรังวัดที่แต่ละเจ้า ซึ่งมีผู้ประกอบการทำโฮมสเตย์จำนวนทั้งหมด 45 เจ้า
นาย ภูมินทร์ บุญบันดาล ผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรที่1 ระบุว่าขณะนี้ในพื้นที่ดอยม่อนแจ่มมีการก่อสร้างที่พักโฮมสเตย์เพิ่มขึ้นจำนวนมา เกรงว่าจะมีการบุกรุกพื้นที่เพิ่มจากที่โครงการหลวงจัดสรรให้ วันนี้จึงทำการเข้าสำรวจพื้นที่เป้าหมายรีสอร์ทจำนวน 44 จุด เก็บข้อมูลเบื้องต้นว่ามีการบุกรุกพื้นที่หรือไม่ มีการซื้อขายที่ดินให้นายทุนจากพื้นที่อื่นเข้ามาลงทุนหรือไม่ หากพบว่ามีการกระทำผิด ต้องดำเนินการเพิกถอน และดำเนินคดี เบื้องต้นช่วงปลายเดือนกรฏาคมที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินคดีเจ้าของม่อนใจโฮมสเตย์ไปแล้ว1รายเพราะมีการบุกรุกพื้นที่กว่า1ไร่
ขณะที่ประชาชนในหมู่บ้านใกล้เคียงที่จะได้รับผลกระทบได้มารวมตัวกันบริเวณจุดชมวิวบ้านหนอหอยจำนวนประมาณ 800 คน เพื่อแสดงจุดยืนว่าพวกเขาไม่ได้กระทำผิดกฎหมายและเป็นที่ทำมาหากินเดิมสมัย ปู่ ย่า ตา ยาย สืบทอดกันมากว่า 4 ช่วงอายุคนแล้ว โดยการเขียนป้ายในข้อความต่างๆนานาเพื่อขอความเป็นธรรมจากภาครัฐฯ แต่ทางด้านเจ้าหน้าไม่ได้ไปเผชิญกับกลุ่มมวลชนที่มารวมตัวกันในวันนี้ จึงไม่มีเหตุการณ์รุนแรงแต่อย่างใด
ด้านนายวิชิต เมธาอนันต์กุล ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรม่อนแจ่ม และตัวประชาชนหมู่ที่ 4-7-11 ต.แม่แรม อ.แมริม กล่าวว่า พวกเราไม่ได้ต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐฯแต่อย่างใดแต่ที่มารวมตัวกันในวันนี้เพื่อต้องการ การชี้แจงจากภาครัฐฯเนื่องตลอดระยะเวลา 4 ช่วงอายุ ตั้งแต่รุ่นปู่ พ่อ ตัวเขาเอง และรุ่นลูก ต้องอยู่แบบหวาดระแวงมาโดยตลอด เดียวก็มีข่าวเจ้าหน้าที่จะมาจับ จะมารื้นค้นบ้าน ทั้งๆที่ที่ดินและที่อยู่อาศัยทั้งหมดอยู่กันมาเป็น 100 ปีแล้ว หากเจ้าหน้าที่จะมาดำเนินการอะไร ประชาชนพร้อมที่จะปฏิบัติตามข้อกฎหมายทุกอย่าง อยากจะให้มาชี้รางวัดที่ให้ชัดเจนเพื่อพวกเราอยู่กันแบบสบายใจ
กรณีที่พวกเราหันมาทำเป็นโฮมสเตย์นั้น เนื่องจากการทำการเกษตรต้นทุนสูงมาก ผลกำไรแทบไม่เห็น ทำการเกษตรทั้งปีผลตอบแทนไม่ถึง20%ด้วยซ้ำไป แต่หลังจากมาทำโฮมสเตย์ผลตอบรับมากกว่า 80% ในด้านการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในช่วงฤดูร้องปัญหาหมอกควัน ไฟป่า ประชาชนในหมู่บ้านได้จัดเวรยามตลอด 24 ชม.ในเวลากว่า 2 เดือนโดยไม่ได้พึ่งงบประมาณจากภาครัฐฯแม้แต่บาทเดียว นอกจากนี้ในชุมชนได้จัดหางบเพื่อปลูกป่าเเละดูแลป่าชุมชนปีละ 500,000 บาทต่อปี
ประธานวิสากิจชุมชนฯกล่าวอีกว่า กรณีที่ทางภาครัฐฯจะมาดำเนินการกับกลุ่มนายทุนในพื้นที่นั้น ทางชุมชนยินสนับสนุนด้วย เพราะพวกเราไม่มีทุนมากมายมหาศาลเหมือนนายทุน หากกลุ่มทุนเจ้ามาจะแย่งชิงทรัพยาที่อยู่แน่นอน ดังกากเจ้าหน้าดำเนินพวกเรายินดีเพราะในชุมชนทำกันแบบครอบครัวเท่านั้น อย่างไรก็ตามขอฝากให้เจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยงานที่เข้ามาตรวจสอบ ให้กลับไปดูและทบทวน มติ.ครม.ปี 2541 และคำสั่ง คสช.ที่.6/2562 ลงวันที่ 12 มิ.ย.2562 ด้วย ซึ่งคำสั่งเหล่านั้นล่วงคุ้มครองและชะลอสิทธิ์ให้แก่ประชาชนทั่วประเทศด้วย